Culinary Landmark on Sathorn Road
The House on Sathorn คฤหาสน์หลังงามซึ่งตั้งอยู่ ณ ใจกลางย่านสาทร-นราธิวาส ติดกับโรงแรมสุดชิคอย่าง W BANGKOK ได้ถูกแปลงโฉมใหม่ จากบ้านโบราณที่มีอายุกว่า 128 ปี ให้กลายเป็นหนึ่งในแลนมาร์คที่ยิ่งใหญ่ งดงาม และ ดึงดูดผู้คนให้แวะเวียนเข้าไปสัมผัส เป็น Dining Destination ใจกลางกรุงเทพที่ท่านต้องหาโอกาสไปเยือนและชื่นชมด้วยตัวท่านเองสักครั้ง
ภายในอาคารเก่าแก่ที่ได้รับการปรับโฉมใหม่ให้เป็นส่วนหนึ่งของ W BANGKOK หลังนี้ ประกอบไปด้วยห้องอาหาร บาร์และห้องจัดเลี้ยง ที่ผสานเอามนต์ขลังของการตกแต่งแบบคลาสสิคดั้งเดิม เข้ากับความนำสมัยอันน่าตื่นตาตื่นใจตามรูปแบบของ W Hotel ไว้ร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ หนึ่งในนั้นคือห้องอาหาร The Dining Room ที่กลายเป็นหนึ่งในประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ท่านต้องไม่พลาดเมื่อมองหาการรับประทานอาหารแบบ Fine Dining ในกรุงเทพมหานคร
ห้องอาหาร The Dining Room ได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ในสุดยอด 50 ร้านอาหารที่ดีที่สุดแห่งเอเชียประจำปี 2017 โดยถูกจัดไว้ในอันดับที่ 36 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองรางวัลอันทรงเกียรตินี้ เชฟ Fatih Tutak ผู้อำนวยการด้านอาหารของ The House on Sathorn จึงได้รังสรรค์ Tasting Menu ชุดใหม่ ด้วยคอนเซ็ปต์อาหารเอเชียสไตล์โมเดิร์นที่แฝงไว้ซึ่งกลิ่นอายของอาหารตุรกีต้นตำรับ มาให้ท่านได้ลิ้มลองกัน
Juxtaposition of Classic Charm and Modern Vibe
เมื่อท่านเดินผ่านประตูทางเข้าที่ประดับตกแต่งด้วยลายปูนปั้นอันงดงามเข้ามาภายในโถงทางเดินกลางบ้านหลังใหญ่นี้ ห้องอาหาร The Dining Room จะตั้งอยู่บริเวณชั้นล่างทางด้านซ้ายมือ ภายในห้องท่านจะได้พบกับการตกแต่งที่น่าตื่นตาตื่นใจของความคลาสสิคแบบดั้งเดิมที่ผสานเข้ากับบรรยากาศสมัยใหม่อย่างน่าทึ่ง โดยที่ทางร้านยังคงรักษาโครงสร้างและรายละเอียดในเรื่องงานปูนปั้นซึ่งเป็นของดั้งเดิมเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง โดยรอบบริเวณห้องอาหารยังเต็มไปด้วยของประดับตกแต่งที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น งานศิลปะที่ทำจากผืนผ้าปักเลื่อมผืนใหญ่โดยฝีมือช่างชาวเขาจากดอยแม่สลอง เสาหินประดับลายปูนปั้นย่างวิจิตร รวมไปถึงบอนไซต้นเล็ก ๆ ที่วางไว้โดยรอบ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เชฟหลงใหลเป็นพิเศษ โดยต้นบอนไซแต่ละต้นเขาเป็นผู้ดูแลและจัดวางด้วยตัวเองทั้งหมด
โทนสีน้ำตาลเข้มตามธรรมชาติของโต๊ะและเก้าอี้บุหนังสีแดงภายในร้าน รวมถึงพื้นไม้สีน้ําตาลมะฮอกกานี เข้ากันได้อย่างลงตัวกับผนังและลวดลายปูนปั้นสีเขียวอ่อน รวมถึงบานประตูไม้สีเขียวเข้ม ช่วยทำให้ตัวห้องมีบรรยากาศที่น่ารื่นรมย์ สงบ ผ่อนคลาย และ หรูหราไปในเวลาเดียวกัน ตรงกลางห้องอาหารโดดเด่นด้วยเคาเตอร์ไม้ตัวยาวที่ด้านหลังเป็นส่วนเตรียมอาหารที่เปิดโอกาสให้ท่านได้รับชมขั้นตอนการทำอาหารแต่ละจาน อันละเอียดอ่อน ปราณีต และ ซับซ้อน รวมทั้ง พูดคุย ซักถาม แลกเปลี่ยน กับทีมเชฟได้ตลอดเวลา อันเป็นรูปแบบของประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ทีมผู้สร้างต้องการให้เกิดขึ้น ณ The Dining Room แห่งนี้
Story behind the Globetrotter
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเมนูอาหารอันเลื่องชื่อของ The House on Sathorn ซึ่งรวมไปถึงห้องอาหาร The Dining Room และ The Courtyard คือ Chef Fatih Tutak เชฟหนุ่มไฟแรงชาวตุรกี ผู้มี เชฟ Fatih เริ่มเข้าสู่วงการอาหารด้วยการเข้าศึกษาในโรงเรียนสอนทำอาหารในตุรกี และได้มีโอกาสร่วมงานกับร้านอาหารชั้นนำมากๆในหลายเมืองใหญ่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นห้องอาหาร The Bellbrook ในฮ่องกง ห้องอาหร NOMA ในเมืองโคเปนเฮเกน และห้องอาหารระดับมิลลินสตาร์สามดาวอย่าง Nihonryori Ryugin ในโตเกียว รวมไปถึงยังเคยดำรงตำแหน่งเป็น Sous Chef ที่ Marina Bay Sands แหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆของสิงคโปร์ ก่อนที่จะได้รับโอกาสมาร่วมงามกับทีมของ The House on Sathorn ในที่สุด เชฟ Fatih เป็นผู้คิดค้นเมนูที่แปลกใหม่หลากหลายเมนูให้กับห้องอาหาร The Dining Room โดยผสมผสานเอารสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของอาหารเอเชียเข้ากับเสน่ห์อันน่าเย้ายวนของตำรับอาหารบ้านเกิดอย่างตุรกี ทุกเมนูล้วนสะท้อนให้เห็นถึงประสบการณ์การเดินทางอันยาวนานไปในที่ต่าง ๆ ของเขาทั่วเอเชียและทั่วทุกมุมโลก อาหารทุกจานจึงเกิดขึ้นจากแรงบรรดาลใจที่เขาได้รับจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขาเมื่อไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองต่างๆ เรื่องราวและความทรงจำอันน่าประทับใจเหล่านั้นได้สะท้อนออกมาให้เราได้สัมผัสผ่าน รสชาติ กลิ่นหอม และ รูปลักษณ์อันแปลกใหม่สวยงามวิจิตรบรรจงของอาหารทุกๆเมนู
Inspirational Culinary Journey
ขอเชิญท่านร่วมออกเดินทางไปกับอาหารชุดใหม่ที่รังสรรค์โดยเชฟ Fatih ในชื่อชุดว่า “The Journey” เมนูอาหาร 9 คอร์สที่สะท้อนความเป็นตัวตนของเชฟผ่านการเดินทางที่เล่าเรื่องด้วย รสชาติ กลิ่นหอม และ รสสัมผัส ในรูปแบบที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร
การเดินทางของเราเริ่มต้นด้วย Amuse Bouche 2 เมนู ตัวแรกเสิร์ฟมาในเปลือกหอยที่วางไว้บนถ้วยใส่น้ำแข็ง ภายในประกอบด้วย Blood Clam และ Blood Orange ที่นำไปผสมกับน้ำซุปปลาแห้งและมิริน เป็นโฟมสีชมพูที่เต็มไปด้วยเนื้อแอปเปิ้ลและเนื้อหอยแครงญี่ปุ่น หอมนุ่มละมุนลิ้น อีกเมนูหนึ่งเป็นเนื้อครีมที่ให้รสชาติกลมกล่อม เนื้อเนียนนุ่ม ปรุงขึ้นโดยใช้ไข่หอยเม่นชิ้นใหญ่มาวางบนไข่แดงแล้วปรุงให้สุกด้วยไฟอ่อน จากนั้นราดทับด้านบนด้วยทรัฟเฟิลครีม ก่อนปิดท้ายด้วยชาโคลสด เป็นเมนูที่โดดเด่นด้วยกลิ่นหอมอโรม่าจากทรัฟเฟิลและไข่หอยเม่น
จากนั้นต่อกันด้วยอาหารคอร์สแรกกับเมนูที่มีชื่อว่า Breakfast at Home อาหารจานนี้เป็นเมนูที่ดัดแปลงมาจากอาหารในแบบตุรกีบ้านเกิดของเชฟ Fatih ทำจากมะเขือเทศสดชุ่มฉ่ำฝานเป็นชิ้นหนาๆ วางมาบน Ezine Cheese ซึ่งเป็นชีสสูตรต้นตำรับจากประเทศตุรกี มีรสนุ่มนวลกลิ่นไม่ฉุนรุนแรง ด้านบนมีแผ่นเยลลี่บางๆที่ทำจากบีทรูทวางทับไว้เพิ่มรสชาติ แล้วเพิ่มสัมผัสพิเศษด้วย Parsley Granite ที่โรยไว้รอบๆ เสิร์ฟมาพร้อมกับซอสทับทิม เป็นการผสมผสานที่ลงตัวของรส เปรี้ยว หวาน มัน ทั้งยังให้ความสดชื่นตั้งแต่คำแรกที่สัมผัส
คอร์สถัดมาเป็นเมนูที่ชื่อว่า Tsukiji Market ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบรรยากาศของตลาดปลา Tsukiji ในโตเกียว เชฟใช้เนื้อปลา Tai-Madai ที่นำไปหมักกับเกลือสาหร่าย มาเคลือบด้วยบ๊วยเค็มญี่ปุ่นและซอสพอนสึ วางไว้ด้านบนของครีมอโวคาโดและประดับด้วยไข่ปลาคาเวียร์ด้านบน เสิร์ฟมาบนใบโฮบะใบใหญ่สีน้ำตาลคาราเมล สัมผัสแน่นๆจากเนื้อปลาสดใหม่เข้ากับรสออกเค็มอ่อนๆที่กลมกล่อมยิ่งขึ้นด้วยการใช้เครื่องเทศมาตัดความคาวของเนื้อปลา เป็นเมนูปลาดิบสไตล์โมเดิร์นที่ลงตัวและโดดเด่นด้วยรสสัมผัสชั้นยอด
คอร์สที่สามเป็นเมนูที่เชฟขอพากลับไปสัมผัสชีวิตในวัยเด็กของเขากับเมนูที่ชื่อว่า From My Mum ซึ่งเป็นเมนูเกี๊ยวสไตล์ตุรกี สอดไส้ด้วยรสชาติอันกลมกล่อมของมะเขือยาว พริกเขียวและหัวหอม เสิร์ฟพร้อมกับ Kaymak (ครีมชนิดหนึ่งของตุรกี) ราดด้วยซอสมะเขือเทศและน้ำมันเนยก่อนจะโรยพริกป่นเพิ่มความจัดจ้านลงไปเล็กน้อย เป็นเมนูที่แม่ของเขามักจะทำให้รับประทานเมื่อเขายังเป็นเด็ก และเขาก็ได้เก็บเอาสูตรอาหารนี้มาปรุงเป็นเมนูที่เข้ากับยุคสมัยยิ่งขึ้นให้ท่านได้ลิ้มลองกัน
ต่อมาเป็นเมนู Season ที่เชฟจะเลือกใช้วัตถุดิบที่เก็บเกี่ยวได้ดีที่สุดหรือสามารถหาได้ในคุณภาพดีที่สุดในฤดูกาลนั้น มาใช้เป็นส่วนประกอบหลัก ในฤดูนี้เชฟนำเสนอเมนูหัวกะหล่ำดอกที่อบด้วยเนยก่อนจะนำไปปรุงให้ได้เนื้อสัมผัสที่นุ่มนวล จัดวางมาบนซอสครีมสีดำรสชาติเข้มข้นที่ทำจากทรัฟเฟิลและนำ้หมึกของปลาหมึกยักษ์ ตกแต่งด้วยพาเมซานชีส ครีมและถั่วแมคคาเดเมีย ที่ช่วยเพิ่มรสชาติและรสสัมผัสอันหลากหลายให้กับเมนูที่ตั้งใจทำตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบเมนูนี้
Sea and Land Breezes
ต่อกันด้วยเมนูจานเนื้อกันบ้าง เริ่มจาก Black Sea Meet Aegea เป็นเมนูที่โดดเด่นด้วยวัตถุดิบชั้นยอดจากทะเลทางตอนเหนือของตุรกี เชฟได้นำเนื้อปลาตาเดียวชิ้นโตมาปรุงจนสุก ได้รสสัมผัสที่นุ่มนวลชุ่มฉ่ำหวานแน่น ราดด้วยซอสที่ทำจากแพลงตอนสีเขียวรสออกเค็มอ่อนๆและให้กลิ่นอายทะเลที่ชัดเจนมาก เสิร์ฟมาบนกะหล่ำขาวดองและสาหร่ายผักกาดทะเล เสิร์ฟมาในถ้วยที่มีน้ำมันเนยมะกอกกลิ่นหอมเย้ายวนใจราดมาจนเต็มถ้วย
คอร์สที่หก เป็นอีกหนึ่งเมนูที่สะท้อนรสชาติอันจัดจ้านของอาหารทางใต้ของไทยได้เป็นอย่างดี กับเมนูที่ชื่อว่า Catch of the Day ซึ่งเชฟได้เลือกเนื้อสัตว์ทะเลที่สดและคุณภาพดีที่สุดในช่วงนั้นๆมาเป็นส่วนประกอบหลัก ในช่วงนี้เป็นภูเก็ตล็อบสเตอร์เนื้อหวานแน่นชิ้นโต ราดมาด้วยน้ำแกงฉู่ฉี่เข้มข้นสไตล์ไทย รสหวานเผ็ดจัดจ้านเข้ากันได้เป็นอย่างดี เสิร์ฟมาพร้อมกับครีมน้ำกะทิและเส้นบะหมี่นุ่มๆที่ผัดมากับมันกุ้งและเนย ส่งกลิ่นหอมน่ารับประทาน เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับสัมผัสและรสชาติของเนื้อกุ้งและซอสฉู่ฉี่
คอร์สที่ 7 กันแล้วกับเมนูที่เป็นอาหารจานหลักของมื้อนี้ มีชื่อว่า Looking for Yakiniku อีกหนึ่งเมนูอาหารที่เขาเลือกความทรงจำสมัยใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นมาสร้างสรรค์เป็นเมนูที่น่าประทับใจ ประกอบด้วยเนื้อวากิวมิยาซากิจากญี่ปุ่น เนื้อดีคุณภาพเยี่ยมที่ย่างมาจนสุกกำลังดี จนได้สัมผัสที่นุ่ม ชุ่มฉ่ำ ละลายในปาก เสิร์ฟคู่กับเห็ดไมตาเกะที่รสหวานอ่อนๆและมีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ ไฮไลท์ของจานนี้ยังอยู่ที่ซอสหัวหอมรสอูมามิและแผ่นหัวหอมกรอบ ซึ่งช่วยดึงรสชาติและรสสัมผัสของเนื้อให้มีความหลากหลายน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
Sweet Sensation
ต่อกันด้วยเมนูของหวานที่มีที่มาน่ารักน่าเอ็นดูอย่างเมนูที่ชื่อว่า Frozen เมนูที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการ์ตูนเรื่องโปรดของลูกสาวของเชฟ Fatih ประกอบไปด้วยองุ่นแดงสดเม็ดโตรสหวานชุ่มฉ่ำ ผงไวน์แดงสีสดใสและซอเรลซอสรสเปรี้ยว เสิร์ฟมาในก้อนน้ำแข็งทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ก้อนใหญ่ที่ด้านหนึ่งขูดออกเป็นถ้วยด้านล่างยังใส่แสงไฟสีขาวนวลไว้ ทำให้ได้ก้อนน้ำแข็งเปล่งแสงสีนวลตาที่สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ และยังแฝงไปด้วยความสนุกสนานและรสชาติที่สดชื่น
ปิดท้ายกับคอร์สที่ 9 ด้วยเมนูขนมหวานสูตรคลาสสิคของตุรกีอย่าง Tarte ที่ประกอบด้วยทาร์ตเกาลัดที่แป้งหอมกรอบใส่ในหวานหอม เสิร์ฟมาพร้อมกับไอศกรีมรสกาแฟตุรกีราดด้วยซอสคาราเมลรสหวานหอม เป็นเมนูสิ้นสุดการเดินทางที่เรียกได้ว่า Happy Ending และน่าประทับใจมาก
ท้ายที่สุดเชฟ Fatih ยังสร้างความประทับใจส่งท้ายกับ Petit Four ที่เป็นเมนู Surprise กับขนมหวานชิ้นเล็กๆหลากหลายชนิดวางแอบซ่อนมาในกระถางบอนไซที่แต่งเป็นสวนเขียวชอุ่มแสนสดชื่นอย่างสวยงาม ในสวนนั้นท่านจะพบกับ พิสตาชิโอมาการองไส้คล็อตเท็ตครีม สตรอเบอร์รี่เจลลี่ และช็อคโกแลตถั่วทำจากอัลมอนด์ พิสตาชิโอ ฮาเซลนัทและเม็ดมะม่วงหิมพานต์ วางอยู่ทั่วสนามหญ้าใต้ร่มเงาบอนไซ
เชฟ Fatih Tutak และทีมเชฟของ The Dining Room ยินดีต้อนรับและพร้อมจะพาทุกท่านไปสัมผัสกับประสบการณ์การรับประทานอาหาร ผ่านเรื่องราวแห่งการเดินทางอันเต็มไปด้วยสีสันและความประทับใจของเชฟ Fatih ด้วยรสชาติที่แปลกใหม่น่าจดจำ ของเมนูอาหารที่สร้างสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษทุกเมนู ในบรรยากาศสุดแสนคลาสสิคของห้องรับประทานอาหารแห่งคฤหาสน์หลังใหญ่ใจกลางกรุงเทพ ที่มีประวัติย้อนหลังกลับไปกว่า 128 ปี หนึ่งในประสบการณ์การรรับประทานอาหารที่ไม่เพียงแต่จะอิ่มท้อง แต่ยังอิ่มตา อิ่มใจ ด้วยแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ที่ท่านสามารถสัมผัสได้ด้วยตัวของท่านเองทุกวัน ณ The House on Sathorn
The Dining Room
A Journey Through Tradition and Taste
The House on Sathorn
Daily from 18:00 – 22:30 hrs.
Dress Code : Smart Casual
Signature JOURNEY set menu at THB 3,800++
VOYAGE set menu at THB 2,800++
A La Carte Menu Available
Directly contact 02 344 4025
Gallery
Directly contact 02 126 8866 Ext. 1231