Redefine experience at Jojo, The St.Regis Bangkok

 [supsystic-slider id=39 ]

การมาร่วมทีมของหัวหน้าพ่อครัวคนใหม่ (แต่อาจจะคุ้นเคยกันดีสำหรับชาวกรุงเทพ) แห่งห้องอาหาร Jojo คือ Chef Stephano Merlo ทำให้ห้องอาหารอิตาเลียนแห่งนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก Where To Fin จึงได้นำความเปลี่ยนแปลงของ Jojo มาเล่าให้คุณฟัง

Bar1

ด้วยประสบการณ์ในการทำอาหารกว่า 20 ปีที่ผ่านมา Chef Stephano Merlo ได้สร้างสรรค์รูปแบบการทำอาหารของตนเองขึ้นใหม่ โดยการนำเอาประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำงานในร้านอาหารชื่อดังทั่วโลก ตั้งแต่บ้านเกิดของเขาที่เมือง Padua ในภาคเหนือของอิตาลี ต่อด้วยการเดินทางข้ามทวีปไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ยัง ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย โปรตุเกส ก่อนที่จะปักหลักแสดงฝีมือของเขา ณ กรุงเทพ ประเทศไทย ประสบการณ์อันหาค่าไม่ได้เหล่านี้ยังรวมถึง การได้ทำงานในร้านอาหารระดับ Michelin Star 3 ดาว Le Calandre ซึ่งเป็นร้านอาหารที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ดีที่สุดในอิตาลี นอกจากนั้นยังได้รับโอกาสพิเศษในการร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับ Michelin Star Chef “Alfredo Russo” แห่ง Dolce Stil Novo ในเมืองตูรินประเทศอิตาลีอีกด้วย

[supsystic-slider id=40 ]

ด้วยประสบการณ์อันทรงคุณค่าที่ได้เรียนรู้มาทั้งหมดนี้  ทำให้ Chef Stephano พบกับรูปแบบการทำอาหารของตนเอง คือการมุ่งเน้นให้คนได้สัมผัสรสชาติจากวัตถุดิบที่แท้จริง ขณะเดียวกัน ทุกเมนูที่เชฟ Stephano ทำ เปรียบเสมือนภาพสะท้อนเรื่องราวและกรรมวิธีในการประกอบอาหารที่แฝงอยู่เบื้องหลัง ในวันนี้ Chef Stephano รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ส่งต่อประสบการณ์ที่น่าสนใจผ่านเมนูใหม่ของห้องอาหาร Jojo ภายใต้คอนเซปท์ใหม่ที่ยังคงเสน่ของ Jojo ไว้ แต่เติมเต็มด้วยความหลากหลายและเอกลักษณ์เฉพาะของ Chef Stephano เอง

Bar2

Chef Stephano นำเสนอเมนูใหม่ของ Jojo ซึ่งผสมผสานกลวิธีการปรุงอาหารแบบโบราณกับเข้ากับแบบร่วมสมัยได้อย่างลงตัวและสมบูรณ์แบบ โดยให้ความสำคัญกับคอนเซปท์ “Slow Food” ซึ่งเป็นเทรนด์ในการปรุงอาหารตอนนี้ “Slow Food” ให้ความสำคัญกับความละเมียดละไมในการรับประทานอาหาร รวมไปถึงให้ความสำคัญในการใช้วัตถุดิบในการประกอบอาหาร โดยมีส่วนเชื่อมโยงในการสร้างความยั่งยืนของชุมชนและการอนุรักษณ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย นี้เป็นผลมาจากการสะสมประสบการณ์ของ Chef Stephano เขาได้เรียนรู้ว่าการทำอาหารเป็นส่วนหนึ่งของสังคมมนุษย์และอุตสาหกรรม เพราะฉะนั้นอาหารจึงเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสามารถเริ่มต้นจากการเลือกส่วนประกอบอาหารที่ผลิตโดยไม่มีผลกระทบในทางลบต่อทั้งชุมชนและสิ่งแวดล้อม Chef Stephano กล่าวว่า “การเก็บรักษาและถนอมอาหาร และการเตรียมซอสปรุงรส รวมถึงการประกอบอาหารในทุกๆจาน ต้องใส่ความตั้งใจและความรู้สึกลงไปบนวัตถุดิบ รูปแบบการปรุงอาหารของผมนั้น เป็นการใช้ส่วนผสมที่ดีที่สุดและต้องรู้ซึ้งถึงคุณค่าและที่มาของวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงอาหารทุกๆจาน สร้างสรรค์ผลงานด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจในอุดมการณ์นี้จนกระทั่งเมนูสุดท้าย”

[supsystic-slider id=41 ]

Cappesante affumicate : Hokkaido scallops, green apple, zucchini, apple fume

” หอยเชลนำเข้า ตัวใหญ่จาก Hokkaido เซิฟมาในโหลแก้วใสปิดด้วยพลายติก ภายในบรรจุควันที่มีกลิ่นไอของแอปเปิลเอาไว้ พนักงานจะทำการตัดพลาสติกใสที่คลุมอยู่ตรงหน้าเรา เพื่อให้กลิ่นแอปเปิลที่เก็บไว้ด้านในคลุ้งกระจายออกมา เผยให้เห็นหอยเชลและ apple fume ตัวหอยเชลนั้นมีรสชาติที่สดใหม่มาก เมื่อทานกับซอสที่มีรสหวานจางๆออกเปรี้ยวเล็กน้อย ช่างเข้ากันได้ดีและเหาะอย่างยิ่งสำหรับเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยก่อนเริ่มมื้อใหญ่ “

GVG_7430

Plin ripieni di quaglia : Plin ravioli filled with braised quail

” Plin Ravioli เนื้อแน่น ตัว Ravioli ผ่านการต้นมาอย่างพอดี ให้สัมผัสนุ่มๆด้านนอกก่อนจะพบกับความแน่นของใส้ที่อัดอยู่ภายใน คลุกเคล้ากับซอยที่มีรสออกเค็มที่มีเมื่อผสมเข้ากับรสอ่อนๆของไส้แล้วช่วงส่งเสริมกันได้ดี ด้วยรสชาติและรสสัมผัสที่ไม่รุนแรงมากนักทำให้ Ravioli จานนี้เคี้ยวทานเล่นได้เพลินๆเลยทีเดียว Chef Stephano แนะนำว่า จานนี้เป็นอาหารอิตาเลียนต้นตำรับที่เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยรสชาติที่แท้จริงของอิตาลี “

GVG_7442

Coniglio e carote : Rabbit leg and loin, baby carrots in 4 ways, licorice jus

”  เนื้อกระต่ายจานนี้รสชาติและให้สัมผัสที่แปลกและรุนแรงมาก เหมาะกับท่านที่มองหาเมนูแปลกใหม่ โดยเชฟได้เลือกเนื้อส่วน ขาที่แน่นและให้รสชาติใกล้เคียงเนื้อไก่แต่มีกลิ่นเฉพาะ กัลเนื้อสะโพกที่ร่วนละลายในปากรสชาติออกไปทางตับห่าน เนื้อทั้งสองส่วนนี้ทานคู่กับแครอทที่ถูกจัดวางมาใน 4 รูปแบบ ที่ให้กลิ่นหอมของแครอทและเข้ากันได้ดีกับเนื้อ นอกจากนั้นยังเพิ่มความแปลกใหม่ด้วย licolice jus ซึ่งเป็นซอสที่มีรสรุนแรงแต่ช่วยส่งเสริมรสชาติของเนื้อกระต่ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ นับว่าเป็นการเดินทางสู่โพรงกระต่ายที่แปลกประหลาดน่าลองเป็นอย่างยิ่ง รับรองว่าจานนี้จะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับทุกท่านที่ได้ลิ้มลอง “

GVG_7455

เพื่อให้ประสบการณ์ในการรับประทานอาหาร ณ Jojo สมบูรณ์แบบที่สุด Chef Stephano ยังให้ความสำคัญกับการให้ความรู้และแนะนำถึงวิธีการปรุงอาหารแต่ละเมนูและรายละเอียดเรื่องราวของทุกๆจานแก่พนักงานทุกคน เพื่อให้สามารถตอบคำถามและถ่ายทอดเรื่องราวเทคนิควิธีเหล่านี้แก่แขกทุกท่านได้ เพื่อให้ประสบการณ์การทานอาหารที่ Jojo เป็นมากกว่าการทานอาหาร และยังสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำยิ่งขึ้นด้วย

Bar3

ไม่เพียงแค่สร้างสรรค์เมนูใหม่ให้กับ Jojo แต่ Chef Stephano ยังนำเสนอมื้อกลางวันรูปแบบใหม่ ตามเทรนด์ของ business lunch ที่มักเป็นมื้ออาหารที่ผ่อนคลาย สะดวก และ รวดเร็ว Chef Stephano จึงนำเสนอ Antipasti Buffet ในมื้อกลางวัน วันจันทร์-ศุกร์ ด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นกันเอง

[supsystic-slider id=42 ]

Antipasti บุฟเฟ่ต์ ประกอบไปด้วยเมนู Starter แบบอิตาเลียน เช่น Tuna Tartar, Beef carpaccio rocket and parmesan, Marinated Artichoke, Prawn in cocktail sauces, Smoked Salmon, Polenta with cod fish mousse, home-made ravioli and spaghetti cream sauce, Taleggio, Toma Piemontese and Parmesan Cheese, salads with fresh leaves, cold cuts นอกจากนั้นยังมีพิซซ่าและพาสต้า ผลไม้สดและเครื่องดื่มหลากหลาย หากต้องการเพิ่มความอิ่มให้กับมื้ออาหารยิ่งขึ้น ก็สามารถเลือกสั่งอาหารจานหลักเพิ่มเติมได้จากเมนูอาหารกลางวันที่คัดสรรค์มาแล้ว เช่น

Spaghetti : Tomato ‘Passata’ and Burrata Cheese

” เส้นสปาเกตตี้ที่ลวกมาอย่างดี ไม่สุกนิ่มจนเกินไปคลุกเค้ลามากับซอสรสเปรี้ยวที่ทำจากมะเขือเทศ เซิฟมาพร้อมกับ Burette Cheese ที่ให้สัมผัสเย็นๆสดชื่นๆ นี่เป็นสปาเกตตี้ต้นตำรับอิตาเลียนอีกจานที่หาทานได้ไม่ง่ายนักในกรุงเทพ “

GVG_7434

Slow Cooked Lamb Shoulder : Trio of Parsnip

” ด้วยเทคนิคการทำอาหารแบบ Slow Cooked ทำให้ได้เนื้อแกะที่เปื่อยนุ่ม แต่ยังคงรสชาติของเนื้อแก่ะไว้ได้เป็นอย่างดี Chef เลือกใช้เนื้อแกะส่วนหัวไหล่ที่ประกอบด้วยชั้นของเนื้อและไขมันที่มากว่าส่วนอื่นทำให้ได้สัมผัสของเนื้อแกะที่มีรายละเอียดมากขึ้น เนื้อแกะยังได้ซอสสูตรพิเศษมาช่วยเสริมรสชาติอีกด้วย “
GVG_7463

Braised Cuttlefish : Soft Polenta

” ปลาหมึกที่ถูกนำมาปรุงแบบพิเศษและสลับซับซ้อน จนได้เนื้อที่กรุบกรอบนุ่มนวล นับเป็นจานที่แสดงให้เห็นฝีมือและความสามารถของ Chef ได้อย่างดีเยี่ยม “
 GVG_7465

หรือหากต้องการเพิ่มเติมของหวาน ก็มีแพคเกจให้คุณเลือก รับของหวานที่จัดสรรค์มาในรถเข็น นำมาให้คุณเลือกทานถึงโต้ะ เมนูของหวานจะเน้นไปที่เค้กและขนมสไตล์อิตาเลียน

 [supsystic-slider id=43 ]

นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการนำพลังและความสามารถในการสร้างสรรค์อาหารของ Chef Stephano มาสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับ Jojo  ที่ผสมผสานความหลากหลายของเมนูอาหารอิตาเลียนทั้งแบบดั้งเดิมและสมัยใหม่ เข้ากับการบริการเหนือระดับ และบรรยากาศของร้านอาหาร Jojo อันสวยงาม หากคุณต้องการสัมผัสประสบการณ์ใหม่ เชิญพิสูจน์ได้ด้วยตัวคุณเอง ที่ห้องอาหาร Jojo

Bonappetito!


 Jojo, Italian Restaurant, The St.Regis Bangkok

มื้อกลางวัน : 12:00 – 15:00 น.

มื้อค่ำ : 18:00 – 23:00 น.

Antipasti Lunch Buffet (Weekday only)

ราคา 795++ บาท ต่อท่าน สำหรับ Antipasti buffet

ราคา 895++ ต่อท่าน สำหรับ Antipasti buffet รวมของหวาน

พิเศษ โปรโมชั่น 1 แถม 1 สำหรับบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวัน (วันจันทร์-วันศุกร์)

วันนี้ ถึง 9 ตุลาคม 2015

รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลย

http://www.stregisbangkok.com/forms/buy1get1antipasti


 แผนที่

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองโต้ะกับ Where To Fin โทร 02 633 3998


[supsystic-slider id=28 ]