กล่าวกันว่า การได้รู้จักเชฟผู้ปรุงอาหารมื้อนั้นๆ จะยิ่งทำให้มื้ออาหารสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เพราะนอกจากรสชาติอาหารจะเป็นสิ่งสำคัญแล้ว เรื่องราวเบื้องหลังและแรงบันดาลใจล้วนเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้อาหารแต่ละจานแตกต่างและให้ประสบการณ์แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร โอกาสนี้ Great Gastro จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับอีกหนึ่งเชฟอาหารอิตาเลี่ยนหน้าใหม่ไฟแรงที่พกพาความตั้งใจมาเต็มกระเป๋า เพื่อให้แฟนอาหารอิตาเลียนชาวไทยได้สัมผัสกับอาหารอิตาเลี่ยนต้นตำรับ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “100 percent Italian ”
เขาเพิ่งบินลัดฟ้าจากฮ่องกงมาประจำที่ห้อง La Scala โรงแรม The Sukhothai Bangkok ได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน Chef David Tamburini แนะนำให้เรารู้จักกับเมนูอาหารใหม่ที่สร้างสรรค์จากความตั้งใจในการนำเสนอเมนูอาหารอิตาเลี่ยนแบบคลาสสิกที่ผสานกับการนำเสนออาหารแบบ Contemporary ไม่ว่าจะเป็น Green Peas Risotto ที่ผสมกลิ่นอายเอเชียด้วย marinade และขิง หรือ Ravioli di Mortadella e Champagne ราวิโอลี่ไส้ Mortadella ที่ยกความคลาสสิกของ cold cut ยอดนิยมสัญชาติอิตาเลี่ยนมาผสานเข้ากับความหรูหรานุ่มนวนของ Champagne Foam
“ความพิเศษของอาหารอิตาเลี่ยนอยู่ที่เราไม่มีสูตรตายตัว อาหารชนิดเดียวกันอาจมีวิธีปรุงต่างกันไปตามไอเดียของเชฟแต่ละท่าน แต่ที่เหมือนกันคือความตั้งใจในการพาอาหารจานนั้นๆ ไปสู่รสชาติความเป็นอาหารอิตาเลี่ยนแท้ ความคิดสร้างสรรค์อาจสื่อสารผ่าน Presentation หรือส่วนประกอบของอาหาร แต่ต้องwไม่เปลี่ยนรสชาติแก่นแท้ของอาหารอิตาเลี่ยนจานนั้นๆ”
แม้จะเกิดและเติบโตใน Tuscany ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี่ แต่สไตล์การทำอาหารของเชฟ David ก็ได้มาจากประสบการณ์การทำอาหารหลากหลายที่เก็บเกี่ยวมาจากประสบการณ์การทำงานในพื้นที่ต่างๆ ทั่วทั้งอิตาลี
“ผมชอบการผสมผสานรสชาติและวัตถุดิบหลากหลาย สไตล์การทำอาหารเมดิเตอเรเนียนมีความคล้ายกับอาหารไทยตรงที่ เราไม่ยึดติดกับรสชาติใดรสชาติหนึ่ง อาหารหนึ่งจานต้องเกิดจากการผสมผสานรสชาคิและสัมผัสหลากหลายเพื่อให้เกิดสมดุล ในความหวานอาจซ่อนรสเปรี้ยวเช่นเดียวกับอาหารไทยที่ซ่อนความเผ็ดไว้ในทุกรสชาติ”
“หลายคนบอกว่าการนำเสนออาหารแบบ original ให้คนต่างชาติเป็นเรื่องยาก ในฮ่องกงผมเคยประสบปัญหาเรื่องการทำพาสต้า เพราะคนฮ่องกงมีความเข้าใจว่าอาหารเส้นที่ดีต้องลวกจนนิ่ม ต่างจากพาสต้าอิตาเลี่ยนที่ไม่ควรลวกสุกจนเกินไป อย่างไรก็ดีผมยังไม่พบปัญหานี้ที่ประเทศไทย ชาวไทยใจกว้างกับอาหารต่างชาติมาก นั่นทำให้ผมใจชื้นขึ้นเยอะเลย”
เชฟ David เล่าให้เราฟังถึงประสบการณ์ทำงานที่ห้องอาหารอิตาเลี่ยน Giano พร้อมโชว์รอยสักอันเป็นเอกลักษณ์ที่เปรียบเสมือนส่วนหนึ่งในอัตชีวประวัติของเขาให้เราชมด้วย
“รอยสักพวกนี้ล้วนมีเรื่องเล่าเบื้องหลัง ผมสักครั้งแรกตอนอายุ 19 และมันบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตผม เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำอารหาร การสักเป็นการเก็บเรื่องราวต่างระหว่างทางบนเส้นทางสายอาหาร ผมหวังว่าความรู้และประสบการณ์ของผมในฐานะเชฟจะทอดสะพานสร้างความเข้าใจให้คนไทยได้รู้จักอาหารแบบ 100 percent Italian กันมากขึ้น”
