L’Atelier de Joël Robuchon ร้านอาหารที่ติดอันดับต้นๆของประเทศไทยจากการจัดอันดับโดยโพลทุกสำนัก หนึ่งในร้านอาหารโดยสุดยอดเชฟผู้ครอบครอง Michelin Star ไว้มากที่สุดในโลกถึง 28 ดวง อย่าง Joël Robuchon นี่คือหนี่งในสุดยอดประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ท่านไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง Great Gastro : Ultimate Dining Experience ก็ไม่พลาดที่จะไปรีวิวมาให้ท่านตามไปลิ้มลองกัน
L’Atelier de Joël Robuchon Bangkok ตั้งอยุ่ ณ ชั้น 5 ตึก MahaNakorn CUBE ไลฟ์สไตล์มอลล์ที่รวบรวมสุดยอดร้านอาหารและบาร์ระดับโลกมาไว้ในที่เดียวกัน เมื่อท่านขึ้นลิฟท์มาถึงชั้น 5 ของตึก ก็จะพบกับประตูทางเข้าร้านอาหารที่ตกแต่งด้วยสี ดำ และ แดง อันเป็นเอกลักษณ์ของ L’Atelier de Joël Robuchon ทั่วโลก
ซึ่งเป็นร้านอาหารฝรั่งเศส concept ใหม่ที่เกิดขึ้นจากแนวคิดที่จะนำเอาอาหารฝรั่งเศสที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นอย่างวิจิตรบรรจงมาให้ผู้ทานได้สัมผัสในร้านอาหารที่มีบรรยากาศผ่อนคลาย สนุกสนาน และ เปิดโอกาสให้ผู้ทานได้เพลิดเพลินไปกับการรับชมขั้นตอนการปรุงอาหารแต่ละจาน รวมทั้งซักถาม พูดคุย แลกเปลี่ยน กับทีมเชฟได้อย่างเป็นกันเอง
นับเป็น concept ของร้านอาหารฝรั่งเศสรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากร้านอาหารที่ดูหรูหราและมีพิธีรีตองมากมายตามธรรมเนียมการรับประทานอาหารแบบดั้งเดิมของฝรั่งเศส L’Atelier de Joël Robuchon เปิดให้บริการเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2003 ใน Paris ประเทศฝรั่งเศส และกลายเป็นที่นิยมของทั้งนักชิมทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็ว จนกระทั่งปัจจุบันมี L’Atelier de Joël Robuchon เปิดให้บริการกว่า 10 สาขา ใน 11 เมืองใหญ่ทั่วโลก
L’Atelier de Joël Robuchon Bangkok ได้นำเอาประสบการณ์แบบเดียวกับร้านสาขาทั่วโลกมาให้ท่านได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด ณ ใจกลางกรุงเทพ ตัวร้านแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ บริเวณด้านหน้าสุดเป็นโถงรับรองพร้อมชุดโซฟาสำหรับแขกนั่งพักผ่อนก่อนรับประทานอาหาร
ถัดไปจะเป็นส่วนที่เรียกว่า The Counter ซึ่งเป็นส่วน ที่นำเสนอที่สุดของประสบการณ์การรับประทานอาหารในแบบของ L’Atelier ที่เปิดโอกาสให้เชฟและผู้ทานได้มีปฏิสัมพันธ์กันมากที่สุด โดยมีเก้าอี้สตูลทรงสูงวางยาวเรียงรายตลอดแนวเคาเตอร์ที่สร้างขึ้นล้อมรอบห้องครัวแบบเปิดที่ไร้กำแพงกั้น เป็นห้องที่รวมเอาส่วนของครัวและส่วนรับประทานอาหารเข้าไว้ด้วยกันโดยไม่มีสิ่งใดมากีดขวาง อาหารทุกจานจะถูกปรุงขึ้นโดยทีมเชฟที่อยู่ด้านหลังเคาเตอร์ ผ่านขั้นตอนต่างๆอันสลับซับซ้อนตามรูปแบบอันละเอียดอ่อนของการปรุงอาหารฝรั่งเศส เมื่อผ่านการตรวจเช็คความเรียบร้อยโดยเชฟใหญ่แล้ว พนักงานก็จะนำเอาอาหารมาเสิร์ฟลงตรงเคาเตอร์ด้านหน้าเรา พร้อมทั้งอธิบายรายละเอียดต่างๆอย่างครบถ้วน ตามธรรมเนียมการให้บริการในร้านอาหารชั้นยอด
ต่างกันตรงที่ พนักงานของ L’Atelier จะให้บริการอย่างเป็นกันเองและมักจะเดินเข้ามาพูดคุยด้วยเสมอตลอดมื้ออาหารโดยที่เราไม่รู้สึกว่าเป็นการรบกวนเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเรามาทราบในภายหลังว่านี่เป็นเคล็ดลับในการออกแบบร้านเพื่อสร้างความประทับใจให้กับแขกผู้มารับประทานอาหาร ณ L’Atelier de Joël Robuchon เนื่องจากพนักงานที่อยู่ด้านหลังเคาเตอร์จะคอยสังเกตุสายตาและภาษากายของแขกทุกท่านอยู่ตลอด เมื่อแขกท่านไหนดูเหมือนจะมีข้อซักถามหรือต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม หรือ แม้แต่เกิดปัญหาใดๆขึ้นระหว่างมื้ออาหาร พนักงานจะสามารถสังเกตุเห็นได้โดยง่ายเพราะที่นั่งรับประทานอาหารเป็นเก้าอี้สูงที่ทำให้ส่วนบนของแขกจะอยู่เหนือขอบเคาเตอร์ทั้งหมด พนักงานจะเข้ามาพูดคุยและไขข้อข้องใจพร้อมสร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารที่น่าประทับใจที่สุดให้กับแขกทุกท่านอยู่ตลอดเวลา
ถัดไปด้านหลังจะเป็นส่วนของ Dining Room ที่มีโต๊ะรับประทานอาหารจัดวางเรียงรายพร้อมชุดอุปกรณ์เครื่องใช้ชั้นยอดครบครัน ในบรรยากาศที่หรูหรา เหมาะสำหรับท่านที่อาจจะต้องการความเป็นส่วนตัวในการรับประทานอาหาร ด้านนอกมีระเบียงพร้อมสวนเล็กๆเป็นบริเวณที่สูบบุหรี่พร้อมวิวของตึกมหานคร ว่าที่ตึกที่สูงที่สุดในกรุงเทพซึ่งตั้งอยู่ด้านหลัง
นอกจากนั้นยังมี Private Room ให้บริการอีก 2 ห้อง MahaNakorn Room รองรับแขกได้ 6 ท่าน ผนังด้านหนังเป็นกระจกยาวพื้นจรดเพดานเปิดให้เห็นวิวของตึก MahaNakorn อย่างชัดเจน และ Crystal Room สำหรับแขก 5 ท่าน เป็นห้องกระจกที่รายล้อมด้วยม่านคริสตัล Swarovski อย่างหรูหรา ตัวห้องไม่ได้ถูกปิดจนทึบ แขกที่มารับประทานอาหารในห้องนี้จะยังได้บรรยากาศที่น่าตื่นเต้นของ L’Atelier แต่ก็มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นในเวลาเดียวกัน
ในส่วนของอาหาร Joël Robuchon ได้ส่ง Executive Chef Olivier Limousin มาดูแลคุณภาพและการสร้างสรรค์เมนูอาหารให้แก่ L’Atelier de Joël Robuchon เชฟ Oliver เป็นอีกหนึ่งลูกศิษย์มือฉมังของ Joël Robuchon ที่ทำงานร่วมกันมากว่า 12 ปี ตั้งแต่ L’Atelier เปิดให้บริการสาขาแรกใน Paris ก่อนจะย้ายมากรุงเทพเขาได้รับมอบหมายให้ดูแล L’Atelier de Joël Robuchon London จนได้รับ Michelin Star 2 ดาว มาแล้ว แน่นอนว่าอาหารทุกจานที่ผ่านมือเขาย่อมมีรสชาติและรูปลักษณ์ตามมาตรฐานของ Joël Robuchon ตามแนวทางการทำอาหารของ Joël Robuchon นั้น อาหารทุกจานต้องปรุงขึ้นจากวัตถุดิบที่ดีที่สุดเท่านั้น ความพิเศษของสาขาที่กรุงเทพ คือ วัตถุดิบบางอย่างนั้นนำมาจากโครงการหลวงทางภาคเหนือของไทย ซึ่ง Joël Robuchon ได้คัดสรรมาเป็นอย่างดีแล้วว่าเป็นวัตถุดิบชั้นยอดไม่แพ้ที่ใดในโลก
สุดยอดเมนูอาหารของ Joël Robuchon โดย Chef Olivier Limousin จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ขอเชิญท่านตาม Great Gastro ไปสัมผัสและลิ้มลองพร้อมกันเลย
Selection of Bread
เริ่มบริการกันด้วยขนมปังตามธรรมเนียม ที่นี่เสิร์ฟมาเป็นตะกร้าใหญ่ ภายในมีขนมปัง 6 ชนิดที่อบขึ้นใหม่ทุกวัน โดย Bakery’s Chef Mitsutane แห่ง L’Atelier de Joël Robuchon Bangkok เป็นขนมปังรูปแบบเดียวกับที่ให้บริการ ณ L’Atelier de Joël Robuchon สาขาอื่นๆทั่วโลก เราขอแนะนำให้ท่านลองชิมดูให้ครบทุกชนิด เพราะต่างมีรสชาติและสัมผัสที่น่าสนใจ มีเอกลักษณ์และอาจจะเรียกได้ว่าหาทานที่ไหนไม่ได้นอกจาก ณ L’Atelier de Joël Robuchon เท่านั้น
A Muse Bouche
ในวันนี้ Chef Olivier นำเสนอ เป็น Foie Gras Custard รสชาติเค็มๆมันๆ เนื้อนุ่มเนียนหอมกลิ่นฟัวกราส์ชัดเจน ตัดกับเลเยอร์ของ Port Wine Reduction น้ำซอสที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ของไวน์อยู่เล็กน้อย รสออกหวานอมเปรี้ยวช่วยเสริมความกลมกล่อมให้กับ A Muse Bouche คำเล็กๆถ้วยนี้ ก่อนจะปิดท้ายด้วย parmesan cheese ที่ทำเป็นโฟมท็อปไว้ด้านบน ตัวนี้จะช่วยให้เนื้อสัมผัสที่นุ่มละมุนยิ่งขึ้น ทั้งยังแทรกกลิ่นหอมของ parmesan cheese ลงไปเพิ่มความน่าสนใจอีกด้วย เวลาทานแนะนำให้ใช้ช้อนตักทั้งสามเลเยอร์รับประทานพร้อมกัน จะได้รสชาติที่สมบูรณ์แบบที่สุด อีกชิ้นที่เสิร์ฟมาคู่กันเป็น Quinoa ทอดกรอบ เมล็ดธัญพืชที่มีต้นกำเนิดมาจากเปรูตัวนี้มีสัมผัสกรุบกรอบ คล้ายเมล็ดงาแต่ตรงกลางกลวงและมีขนาดใหญ่กว่า นิยมทานเป็น cereal ในมื้อเช้า Chef Olivier นำมาปั้นเป็นก้อนแล้วทอดจนกรอบทั่วทั้งชิ้น ท็อปด้วยมูสรสออกเผ็ดอ่อนๆเจือหวานเล็กน้อย ทำจาก piquillo pepper หรือพริกหวานสเปน
LE CAVIAR IMPERIAL
servi en surprise sous une gelée cardinalisée
A surprise of Sologne Imperial caviar
มาถึงอาหารเรียกน้ำย่อยจานแรก เป็น caviar เกรดพิเศษคัดเพื่อใช้เสิร์ฟในร้านอาหารของ Joël Robuchon โดยเฉพาะ เสิร์ฟมาในจานที่ทำขึ้นเป็นพิเศษมีกระปุก caviar สีทองอยู่ตรงกลาง พร้อมช้อนเปลือกมุกสำหรับใช้ทาน caviar เพื่อไม่ให้รสชาติเปลี่ยนแปลงไป เมื่อเปิดฝาด้านบนออกจะพบกับ caviar สีดำสนิทอัดแน่นอยู่ด้านบนจนทั่ว แต่เมื่อตักลงไปจะพบกับชั้นบางๆของเยลลี่ที่ทำจากน้ำสต๊อก Lobster ซึ่งกั้นอยู่ระหว่าง caviar ด้านบนกับด้านล่างที่เป็นเนื้อ Lobster และ King Crab ผัดกับพริกไทยในซอสครีมข้นๆ ได้รสชาติเผ็ดอ่อนๆ รับประทานร่วมกันทั้งหมดจะได้รสชาติที่ชวนให้ระลึกถึงชายทะเล ด้วยรสเค็มอ่อนๆและกลิ่นหอมทะเลจาก King Crab, Lobster และ caviar ความมหัศจรรย์ของเมนูนี้อยู่ที่สัมผัสที่ผสมผสานกันระหว่าง caviar กรุบกรุบ เนื้อปูนุ่มๆ lobster แน่นๆ ซอสครีม และ เยลลี่
LE KING CRAB
en rouleau d’avocat, aux saveurs de pomelo
King Crab and avocado roll, pomelo flavors
จานถัดมาหน้าตาไปทางอาหารญี่ปุ่น กับ avocado roll ที่มีไส้ในเป็นเนื้อ King Crab รสชาติออกเค็มชัดเจน เบรกด้วยเนื้อ avocado นุ่มนวลละลายในปาก ที่ให้รสหวานอ่อนๆ juicy สดชื่นเป็นพิเศษ ก่อนจะปิดท้ายด้วยซอสส้มโอรสเปรี้ยวอมขมเล็กน้อย ด้านบนตกแต่งด้วยเนื้อส้มโอสดหั่นลูกเต๋า และ ขนมปังกรูตองกรอบๆ รับประทานร่วมกันจะได้รสที่นุ่มนวลสดชื่น มีความเค็มและกลิ่นอายทะเลเล็กน้อยที่เสริมด้วยความสดชื่นจาก avocado และ ส้มโอ เหมาะกับรับประทานเป็นอาหารก่อนจานหลักเป็นอย่างยิ่ง
LA LANGOUSTINE
en ravioli avec une étuvée de chou vert et beurre de foie gras truffé
Langoustine raviolis with black truffle and foie gras sauce
Ravioli แป้งบางนุ่มๆที่ไส้ในเป็นกุ้ง langoustine หรือ Norway Lobster กุ้งที่มีเนื้อออกยุ่ยกว่ากุ้งทั่วไปให้สัมผัสคล้ายๆเนื้อปูแน่นๆ มีกลิ่นหอมพิเศษชัดเจน โดยมากจะมีขนาดเล็กกว่า lobster แต่ที่นี่คัด langoustine ขนาดใหญ่พิเศษนำมาคลุ้กกับ black truffle แล้วห่อด้วยแป้ง ravioli โฮมเมด เสิร์ฟพร้อมกับซอส foie gras รสเค็มอ่อนๆกลิ่นหอมมัน และ ใบอ่อนกะหล่ำปลีผัดกับเนย รับประทานคู่กับ ravioli ช่วยเพิ่มความสดชื่นและตัดเลี่ยนจากรสชาติหนาๆของเนื้อกุ้งผัดทรัฟเฟิลและซอส foie gras ได้เป็นอย่างดี
LA SOLE
entière de petit bateau, façon ‘Belle Meunière’
Whole Dover sole ‘Belle Meunière’ style
จานหลักไฮไลท์ของวันนี้เป็น Dover Sole ทั้งตัว ที่นำเข้ามาเป็นพิเศษจากแหล่งที่ดีที่สุดทางตอนใต้ของฝรั่งเศส นำมาปรุงเพียงเล็กน้อยเพื่อรักษารสชาติดั้งเดิมและความสดของปลาชั้นดีเอาไว้ โดยนำไปทอดทั้งตัวกับเนยจนผิวเป็นสีเหลืองกรอบ เนื้อปลาด้านในมีรสอมหวานเล็กน้อย แน่นเนียน เป็นเนื้อปลาที่มีสัมผัสพิเศษด้วยความที่ปลายังสดและมีคุณภาพสูงมาก เสิร์ฟมาพร้อมกับเลมอนไว้บีบลงบนเนื้อปลาเพิ่มรสชาติ และ ผักใบเขียวผัดกับ วาซาบิสดที่มีรสเผ็ดอ่อนๆ กลิ่นฉุนชัดเจนเป็นเอกลักษณ์แต่ไม่ขึ้นจมูก มีไซด์ดิชเป็น mash potato ที่เนื้อเนียนนุ่มหอมเนยทานได้เพิลนจนต้องขอเพิ่มทีเดียว อาหารจานหลักจานนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพและความตั้งใจในการทำอาหารของ team chef แห่ง L’Atelier de Joël Robuchon ได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ขั้นตอนของการคัดเลือกวัตถุดิบ จนถึงรายละเอียดในการตกแต่งและจัดเตรียมอาหารก่อนจะเสิร์ฟให้เราได้รับประทานกัน
DESSERT TROLLEY
วันนี้เราเลือกทานของหวานจาก Dessert Trolley ที่มีเค้กให้เลือกหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นชูครีมไส้ช็อคโกแลตที่รสหวานเข้มข้นชัดเจนเนื้อแป้งเหนียวนุ่มผิวนอกกรอบเล็กน้อย soft cake เนื้อนุ่มที่เสิร์ฟคู่กับครีมวานิลลาแล้วราดด้วยเหล้ารัม ใครชอบแอลกอฮอล์ตัวนี้ต้องไม่พลาด เพราะกลิ่นของเหล้าและรสขมเล็กน้อยช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับเค้กฟูนุ่มที่เพิ่มความหวานและกลิ่นหอมด้วยซอสครีมวานิลลาที่เสิร์ฟมาคู่กัน chocolate soufflé แบบสดที่ดูหน้าตาธรรมดาแต่รสชาติเข้มข้นจัดจ้านคนรักช็อคโกแลตไม่ควรพลาด และ อีกหนึ่งทีเด็ดคือ ทาร์ตมะม่วงที่มีรสหวานอมเปรี้ยวสดชื่นจากเนื้อมะม่วงสดและความกรุบกรอบของแป้งทาร์ตที่รองอยู่ด้านล่าง
Petit Fours
ปิดท้ายด้วยขนมหวานชิ้นเล็กๆตามธรรมเนียนการบริการของร้านอาหารฝรั่งเศส เป็น Madeleine ขนมไข่ฝรั่งเศสเนื้อนุ่มเนียนหอมกลิ่นนมเนยชัดเจนตามแบบฉบับดั้งเดิมของฝรั่งเศส และ chocolate ไส้ caramel เข้มข้นรสหวานจัดจ้าน ทานคู่กับชาร้อนสักแล้วจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี
L’Atelier de Joël Robuchon Bangkok มีเมนูอาหารให้ท่านได้เลือกลิ้มลองหลากหลายรูปแบบ ทั้ง Tasting Portions ที่เป็นอาหารชิ้นเล็กๆขนาดพอดีคำ A La Carte เมนูและ Set Menu ที่มีให้เลือกทั้งแบบ 5 courses และ 7 courses พร้อมแพคเกจ Wine Pairing ซึ่งไวน์ทุกตัวถูกเลือกสรรค์เป็นพิเศษโดย Chef Sommerlier Mr. Jordan Cortes ผู้หลงใหลในศาสตร์แห่งไวน์มาตั้งแต่อายุ 19 ปี นอกจากนั้นอาจจะถือได้ว่า L’Atelier de Joël Robuchon Bangkok นำเสนอประสบการณ์การรับประทานอาหารระดับ Michelin Star 3 ดาว ที่คุ้มค่ามากที่สุดแห่งหนึ่ง ดังเช่นการมี Set Lunch ให้บริการในราคาเริ่มต้นเพียง 950++ บาทเท่านั้น หากท่านกำลังมองหาประสบการณ์การรับประทานอาหารระดับโลก โดย Chef ระดับ Michelin Star ในบรรยากาศที่สนุกสนาน เป็นกันเอง และ น่าจดจำ L’Atelier de Joël Robuchon Bangkok คือตัวเลือกที่ดีที่สุด ณ ปัจจุบันนี้ อย่างแน่นอน
L’Atelier deJoël Robuchon Bangkok
MahaNakhon CUBE
Lunch from 11:30 – 14:00 hrs.
Dinner from 18:30 – 22:00 hrs.
MENU