The St.Regis Bangkok หนึ่งในโรงแรมชั้นนำที่ดีที่สุดของกรุงเทพ มักนำเสนอที่สุดของประสบการณ์การรับประทานอาหารให้เราได้ตามไปสัมผัสอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเชิญ Chef ระดับ Michelin Star หรือ Celebrity Chef มาแสดงฝีมือการปรุงอาหารให้เราชาวกรุงเทพได้มีโอกาสสัมผัสกันอยู่เป็นประจำ หรือ การนำเสนอรูปแบบของมื้ออาหารที่พิเศษกว่าใคร ไม่ว่าจะเป็น “Pranzo Italiano Lunch” มื้อเที่ยงแบบอิตาลีแท้ๆ หรือ โปรโมชั่นเครื่องดื่มสุดพิเศษ “After Work at The St.Regis Bar” ที่เปลี่ยนช่วงเวลาหลังเลิกงานของท่านให้สนุกสนานและรื่นรมย์มากยิ่งขึ้น เป็นต้น ล่าสุด The St.Regis Bangkok นำเสนอที่สุดของ Sunday Brunch กับ “Monthly Mega Brunch” เพื่อเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองสุดพิเศษกับอาหารและเครื่องดื่มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพ ซึ่ง Great Gastro ได้มีโอกาสไปสัมผัสมา พร้อม Review สุด Exclusive ชิ้นนี้ ตามผมไปรับชมกันเลย
Monthly Mega Brunch จะจัดขึ้นเพียงเดือนละครั้งเท่านั้นในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือน โดยเปลี่ยนห้องอาหารและบาร์ทุกห้องบนชั้น 12 ของโรงแรม ให้เป็นสวรรค์ของอาหารและเครื่องดื่ม นำเสนอเมนูอาหารนานาชาติที่ปรุงจากวัตถุดิบชั้นยอดตามฤดูกาลนั้นๆ และนำเสนออย่างสวยงามตามแบบฉบับของ New York Style Brunch พร้อมเครื่องดื่มชั้นยอดที่ให้บริการแบบไม่อั้น ซึ่งผมยืนยันได้ว่าท่านไม่สามารถจะดื่ม Moët & Chandon Grand Vintage Champange แบบ Free Flow ได้ที่ไหนอีกแล้ว นอกจาก Monthly Mega Brunch ณ The St.Regis Bangkok แห่งนี้
สำหรับมื้อพิเศษมื้อนี้ท่านสามารถเลือกโต๊ะรับประทานอาหารได้จากทั้ง 4 ห้องอาหาร ไม่ว่าจะเป็น Dining Table แบบมาตรฐานพร้อมทรรศนียภาพของสนามม้าราชกรีฑาสโมสร ณ VIU ชุดโซฟาแบบห้องนั่งเล่นในคฤหาสน์ของตระกูล Astor ณ The Drawing Room มุมส่วนตัวในห้องเก็บไวน์ ณ Decanter หรือ ชุด Sofa Lounge ในบรรยากาศของ Bar เครื่องดื่มสุดหรูพร้อมวิวน่านฟ้ากรุงเทพ ณ The St.Regis Bar
เมื่อได้โต๊ะที่นั่งที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาออกสำรวจอาหารที่จัดกระจายอยู่ในมุมต่างๆของห้องอาหารทั้ง 4 ผมจะพาท่านไปเริ่มต้นกันที่ VIU ซึ่งเป็นห้องอาหารหลักที่มีไลน์อาหารตั้งอยู่มากที่สุด
– VIU –
ส่วนแรกเป็น Antipasti หลากหลาย มี Cold Cut ระดับ Premium จากห้องอาหาร Jojo พร้อมเครื่องเคียงหลากชนิด ติดกันเป็นมุมสลัดบาร์ที่ท่านสามารถเลือกส่วนผสมต่างๆเองได้ ก่อนที่พนักงานจะนำไปคลุกเคล้าใน Parmesan Cheese Wheel ก้อนยักษ์
ถัดมายังมีสลัดปรุงเสร็จให้ท่านเลือกทานอีกหลายชนิด โดยในวันนี้มี Tuna Salad, Seafood Salad, Caprese Salad, Strawberry Salad, Lamb Salad และ Grilled Vegetable Salad ติดกันผมขอเรียกว่ามุม A La Minute Italian Treat มีพิซซ่า หลากหลายหน้าที่อบสดใหม่จากเตา และ พาสต้าหลากชนิดที่สั่งทำได้แบบ DIY
เดินอ้อมมาบริเวณด้านหลังครัวเปิด เล็กน้อยจะมีขนมปังนุ่มๆพร้อมเนยให้บริการ และซุปประจำวัน โดยวันนี้มี Mushroom Soup ซุปข้นครีมๆ Singapore Chili Crab Soup ซุปเปรี้ยวออกเผ็ดเล็กน้อย และ Fish Maw Soup ซุปกระเพาะปลาข้นๆที่ทำรสชาติออกมาเข้มข้นถูกปากคนไทย
มุมต่อมาเป็น Hot Pot ที่แฟนๆ Jojo ต้องไม่พลาด Alfredo Pasta ที่ชุ่มฉ่ำชีสและซอสครีม วางอยู่คู่กับ Seafood Soup และ Beef Stew ที่ทำแบบสโลวคุกจนตัวเนื้อเปื่อยนุ่มละลายในปาก รสออกเค็มเข้มข้น ผมทานเมนูนี้คู่กับข้าวหอมมะลิแล้วพอใจมาก หรือจะทานกับมันฝรั่งอบก็ได้
ต่อมาเป็น Made To Order Main Courses ที่ Chef Matthew Woolford จะคัดเลือกเมนูพิเศษประจำสัปดาห์มานำเสนอ ในวันนี้ผมได้ลองทาน Foie Gras ที่เสิร์ฟมาพร้อมซอส Yellow Peach and Tomato Relish ฟัวกราส์ชิ้นไม่หนาจนเกินไปเซียร์มาได้ที่ วางบนขนมปัง Brioche หนานุ่ม ก่อนราดทับด้วยซอสเปรี้ยวอมหวานที่มาพร้อมกลิ่นสดชื่นของพีช
เมนูถัดมาเป็น Poached Egg กับ Lobster ที่เป็น Egg Benedict แบบเมนูอาหารเช้าปรุงมากำลังดีวางมาบน Poppy Seed Begal และเนื้อ Lobster ชิ้นใหญ่ เพิ่มรสชาติด้วยซอส Hollandaise ที่ใส่ Caviar ลงไปเพิ่มเทกซ์เจอร์และกลิ่นหอมมัน
สุดท้ายเป็นเมนูแบบ Asian กับ Terriyaki Saba Fish ปลาซาบะชิ้นโตเนื้อหนา ย่างจนสุกทั่วทั้งชิ้นราดด้วยซอสเทอริยากิรสหวานกำลังดี ไม่จัดจนเกินไป รับประทานตอนที่ยังร้อนๆจะมีกลิ่นหอมละมุนของเนื้อซาบะและเทอริยากิซอสเข้ากันเป็นอย่างดี
ติดกันเป็นมุม Carving มี Roasted Beef ชิ้นใหญ่พร้อมมันฝรั่งและมะเขือเทศอบ น้ำเกรวี่ และ ซอสต่างๆ สามารถแจ้งให้พนักงานจัดเตรียมและนำไปเสิร์ฟให้ที่โต้ะได้เลย
มุม Highlight ของห้องนี้เป็น Grilled ที่ท่านสามารถเลือกสั่งได้ทั้ง Lobster, Tiger Prawn, Salmon และไส้กรอกอิตาเลียน Chorizo Sausage ชอบสุกมาก สุกน้อย สามารถสั่งได้ พนักงานจะนำมาเสิร์ฟพร้อมกับซอสที่ทานด้วยกัน แต่ถ้าท่านอยากลองทานกับซอสแบบอื่นก็มีให้ตักเติมได้หลายชนิด
ต่อมาเป็นในส่วนของอาหาร Asian เริ่มกันที่อาหารไทย มีผัดไทย Lobster ที่ท่านไม่ควรพลาด นอกจากนั้นยังมีเมนูอาหารปรุงสุกให้รับประทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ โดยในวันนี้มี ปลากระพงนึ่งมะนาว ทะเลผัดพริกแกง และแกงมัสมั่นเนื้อซี่โครง รสชาติของทุกเมนูถึงเครื่อง รสเข้มข้นทำมาสำหรับรับประทานกับข้าวสวย เป็นอีกครั้งที่ผมประทับใจกับอาหารไทยในไลน์บุฟเฟ่ต์ฝีมือเชฟต่างชาติ
ถัดมาเป็นมุมอาหารจีน ที่จัดมาครบทั้งติ่มซำคุณภาพเยี่ยมหลากหลาย เป็ดปักกิ่งหนังกรอบซอสรสหวานกำลังดีกับแผ่นแป้งนุ่มเหนียว หมูหัน หมูแดง หมูกรอบ และข้าวเกรียบไว้ทานเคียงกัน
ติดกันเป็นมุมอาหารญี่ปุ่น มีซูชิ ข้าวปั้นต่างๆหลากหลาย และซาชิมิที่มี Lobster Sashimi เป็น Highlight นอกจากนั้นยังมีเทมปูระและผักทอด ของทานเล่นอย่างทาโกะยากิ ที่มีซอสแยกมาให้เราเลือกราดเองตามต้องการ
เดินเลยเข้าไปบริเวณห้องด้านในสุดจะมี Seafood on Ice ที่จัดมาแต่อาหารทะเลคุณภาพสดใหม่ทุกอย่าง นำมาด้วย Lobster ชิ้นใหญ่ยักษ์ Alaskan King Crab กล้ามโตเนื้อเต็มปล้อง Oyster Fin De Clair ตัวใหญ่คัดขนาดมาเป็นพิเศษ นอกจากนั้นยังมีอาหารทะเลนึ่งที่เลือกได้ทั้ง Lobster ปลาหมึก และ กุ้งลายเสือ มาพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดรสจัดจ้าน
ในห้องนี่ยังมี Caviar Station ที่พนักงานจะเตรียมให้ตามที่ท่านต้องการ และ Salmon Beetroot Marinate เนื้อแซลมอนที่ปรุงจนมีรสอมเปรี้ยวเล็กน้อยซึ่งทำออกมาสดและรสดีมาก
– Decanter –
ต่อไปผมจะพาไปชมไลน์อาหารที่ Decanter ซึ่งจัดได้ว่าเป็นสวรรค์ของท่านที่ชอบทานชีส ซึ่งมีชีสให้ท่านเลือกกว่า 20 ชนิด พร้อมเครื่องเคียงต่างๆทั้ง แฮม ถั่วหลากชนิด ผลไม้อบแห้ง ขนมปัง แยมและน้ำผึ้ง โดยจะมีพนักงานคอยให้บริการแนะนำชีสแบบต่างๆและช่วยท่านเลือกทานคู่กับเครื่องเคียงหรือไวน์ที่เข้ากันอีกด้วย
– The Drawing Room –
หลังรับประทานของคาวกันไปพอสมควรแล้ว ผมจะพาไปเลือกขนมหวานกันที่ The Drawing Room ที่มี เค้กหลากหลายชนิดให้ท่านรับประทาน มีไอศกรีมให้เลือกถึง 8 รสชาติซึ่งรวมถึงรสแชมเปญด้วย นอกจากนั้นยังมีเจลาโต้รสขิงที่หอมหวานนุ่มนวลกำลังดีกลิ่นขิงไม่ฉุนจนเกินไป มีมุม Chocolate ฟองดู ในส่วนของขนมไทยมีข้าวเหนียวมะม่วงรสดี ลูกชุบ และ ฝอยทอง ก่อนจะปิดท้ายด้วย Chocolate Truffle ที่ท่านไม่ควรพลาด
– The St.Regis Bar –
ส่วนสุดท้ายจะเป็นเรื่องของเครื่องดื่ม ณ The St.Regis Bar ที่ให้บริการเครื่องดื่มหลากหลายชนิด โดยมี Highlight เป็นแชมเปญชั้นยอดอย่าง Moët & Chandon 2006 Grand Vintage ไวน์ที่คัดสรรมาเป็นพิเศษให้สามารถดื่มพร้อมกับอาหารหลากหลายชนิดได้ โดยไวน์ขาวเป็น Terrazas de los Andes, Reserva Chardonnay 2014 และไวน์แดงเป็น Cape Mentelle, Trinders Caberbet Sauvignon-Merlot 2014 นอกจากนั้นยังมีเครื่องดื่ม Signature ของ The St.Regis Bangkok อย่าง Siam Marry ค็อกเทลสูตรพิเศษที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรสชาติของยำปลากระพง และ มาตินี่หลากหลายชนิด ทั้งหมดนี้เสิร์ฟให้ท่านได้รื่นรมย์อย่างไม่รู้จบตลอดเวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง
ประสบการณ์การรับประทานอาหารในครั้งนี้ ช่วยเติมแต่งบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองให้กับวันอาทิตย์สิ้นเดือนของผมได้อย่างมหัศจรรย์ ด้วยอาหารคุณภาพเยี่ยม รสชาติที่ถูกปาก บรรยากาศอันหรูหรา ทัศนียภาพอันสวยงาม เครื่องดื่มชั้นยอดที่ดีที่สุด รวมทั้งการบริการชั้นยอดของพนักงานทุกท่านที่สร้างความประหลาดใจให้ผมหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการจดจำโต๊ะของพนักงานประจำ Cooking Station ที่ผมไม่ต้องแจ้งเขาเป็นครั้งที่สองเมื่อกลับมาสั่งอาหารเพิ่ม การเสิร์ฟอาหารที่ถูกต้องตามมารยาท การดูแลเอาใจใส่ที่คอยเก็บจานที่ผมไม่ใช้แล้วออกไปจากโต๊ะเสมอ และ การเสนอให้ความช่วยเหลือในการตักอาหารเพิ่มเติมและแนะนำเมนูอาหารให้กับเราตลอดมื้ออาหาร ทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์การรับประทาน Sunday Brunch ที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งของผม ท่านที่กำลังมองหาบุฟเฟ่ต์ชั้นยอดสำหรับวันพิเศษของท่านไม่ควรพลาด เชิญมาสัมผัสด้วยตัวท่านเอง ณ The St.Regis Bangkok ทุกวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือน
