ไม่เพียงแต่การเลือกไวน์ให้เข้ากับอาหารจะมีความสำคัญ แต่การเลือกแก้วไวน์ให้เหมาะกับชนิดของไวน์แต่ละชนิดนั้น ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยเพิ่มสุนทรียระหว่างมื้ออาหารได้เป็นอย่างดี ธรรมชาติของไวน์แต่ละประเภทมักมีความโดดเด่นแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นความหอม กลิ่นผลไม้ กลิ่นไม่โอ๊ค หรือรสชาติความหวาน ความฝาด และความกลมกล่อมของไวน์ การออกแบบแก้วไวน์นอกจากจะมีส่วนช่วยในการเก็บรักษาอุณหภูมิและนำไวน์ไปสัมผัสส่วนต่างๆของลิ้นได้อย่างเหาะสมแล้ว ยังส่งผลต่อระดับความรุนแรงของแอลกอฮอลที่สัมผัสได้ต่างกันของไวน์แต่ละชนิดอีกด้วย ดังนั้นการเลือกแก้วไวน์จึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ Great Gastro อยากพาทุกท่านไปทำความเข้าใจกันให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น

types-of-wines-and-glasses

Red Wine 

ไวน์แดงได้มาจากการหมักองุ่นสีแดงหรือดำ สีของไวน์ที่ปรากฎมักขึ้นอยู่กับสีเปลือกขององุ่นที่ใช้ในการทำไวน์ ยิ่งองุ่นมีเปลือกสีเข้ม ความเข้มของสีไวน์ก็จะมากตามไปด้วย เนื่องจากไวน์แดงมีรสชาติค่อนข้างเข้มและชัดเจนกว่าไวน์ชนิดอื่น จึงมักรับประทานคู่กับอาหารรสจัดเช่น เนื้อ หรือ cream based pasta

ไวน์แดงมักนิยมดื่มที่อุณหภูมิห้องจึงสามารถเสิร์ฟในแก้วที่มีปากกว้างได้มากกว่าไวน์ประเภทอื่น รูปร่างทั่วไปของแก้วไวน์มักมีก้นใหญ่และอ้วน ส่วนปากจะโค้งเข้าหากัน เพราะจะทำให้ผิวหน้าของตัวไวน์สามารถสัมผัสกับอากาศได้มากเพื่อให้อ็อกซิเจนเป็นตัวช่วยพากลิ่นของไวน์ออกมารวมกันที่ปากแก้ว นอกจากนี้ความกว้างของแก้วไวน์ยังช่วยให้ผู้ดื่มสามารถรับกลิ่นของไวน์ได้ระหว่างการจิบอีกด้วย

red

White Wine 

ไวน์ขาวได้มาจากวิธีการหมักคล้ายกับไวน์แดง เพียงแต่ใช้องุ่นขาวหรือองุ่นแดงที่ปอกเปลือกแล้ว ไวน์ขาวมีรสชาติอ่อนกว่าไวน์แดงแต่มักมาพร้อมรสเปรี้ยวอมเผ็ดจางๆ ด้วยความที่ไวน์ชนิดนี้นิยมเสิร์ฟเย็นจึงต้องใช้แก้วที่มีปากแคบเพื่อรักษาสีและอุนหภูมิ ส่วนก้นของแก้วไวน์จะอ้วน  และค่อยๆ แคบลงเพื่อให้กลิ่นของไวน์รวมตัวกันที่ปากแก้ว

ไวน์ขาวที่มีอายุยังน้อย นิยมเสิร์ฟในแก้วทรงสูงที่ปากกว้างกว่าเพื่อให้รสหวานของไวน์วิ่งไปสัมผัสส่วนปลายและด้านข้างของลิ้น ในขณะที่ไวน์ที่มีอายุมากแล้วมักเสืร์ฟในแก้วที่สูงปากแคบเพื่อให้รสละมุนของไวน์ไหลไปสัมผัสกับบริเวณด้านหลังและด้านข้างของลิ้น

400100073735_1

Sparkling Wine 

Sparkling wine หรือ Champagne มีความโดดเด่นที่รสซ่าผสานฟองอากาศหนานุ่มระหว่างเนื้อไวน์  ไอเดียหลักของแก้วไวน์ชนิดนี้ คือการเก็บรสสัมผัสอันเป็นเอกลักษณ์จากฟองไวน์ไว้ให้ได้นานที่สุดโดยใช้แก้วทรงดอกทิวลิบ สูง ยาว ที่มักรินให้สูงอย่างน้อยสามในสี่เพื่อให้สามารถมองเห็นฟองที่ค่อยๆลอยเรียงตัวขึ้นไปยังปากแก้วอย่างสวยงาม

sp1

Rose Wine 

สีชมพูอันเป็นเอกลักษณ์ของไวน์ชนิดนี้ได้มาจากการผสมเปลือกองุ่นแดงเข้าไปในชั่วโมงแรกๆ ของการหมัก บางครั้งอาจเกิดจากการผสมไวน์ขาวและไวน์แดงเข้าด้วยกันในปริมาณที่เหมาะสม รสชาติของไวน์ชนิดนี้แตกต่างไปตามแหล่งผลิตโดยมักมีรสหวานกลางๆ หากผลิตในสหรัฐอเมริกา และจะมีรสออกฝาดหากผลิตจากยุโรป

ในบางครั้ง rose wine อาจเสิร์ฟในแก้วของไวน์ขาวเพราะนิยมเสิร์ฟเย็นเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดีแก้วของไวน์ชนิดนี้ยังสามารถแบ่งออกเป็นสองแบบ แบบแรกคือแก้วแบบ Slight Taper Design แก้วมีก้าน ตัวแก้วสั้น ปลายปากแก้วบางแคบลงเล็กน้อย เหมาะสำหรับ rose wine ที่มีความหนัก(Full-Body) แบบที่สองคือ Slight Flare Lip Design ตัวแก้วสั้น ปากแก้วบานออก เหมาะสำหรับ rose wine ที่มีรสบางเบา หวานน้อย ให้ความสดชื่น เพราะนอกจากรูปร่างของแก้วจะส่งไวน์ไปยังปลายลิ้น เพื่อให้รับรสหวานได้มากขึ้นแล้ว ความบานของแก้ว ยังช่วยเพิ่มสมดุลให้ไวน์ที่มีรสชาติบางเบาอีกด้วย

rose

Dessert Wine and Fortified Wines

Dessert Wine คือไวน์ที่ใช้เสิร์ฟคู่กับของหวาน อาจเป็นไวน์ชนิดใดก็ได้แต่ต้องมีรสออกหวานกว่าของหวานจานหลัก ในขณะที่ Fortified Wines คือไวน์ที่นำไปผสมเครื่องดื่มแอลกอฮอลอื่น เช่น บรันดี ไวน์ชนิดนี้จึงมีดีกรีแอลกอฮอลมากกว่าไวน์ทั่วไป ส่วนมากเริ่มต้นที่ %15 ABV.

สำหรับแก้วที่เหมาะกับไวน์ประเภทนี้คือแก้วที่มีขนาดเล็ก เพราะไวน์ทั้งสองประเภทมีรสชาติและดีกรีแอลกอฮอลหนักกว่าไวน์ทั่วไป รูปทรงของแก้วไวน์เป็นทรงกระบอกยาวตรงเพื่อส่งรสหวานของไวน์ให้ตรงไปถึงด้านหลังของปากโดยไม่เสียรสชาติระหว่างทาง

dess

http://www.webstaurantstore.com/guide/580/types-of-wine-glasses.html
http://www.oknation.net/blog/buywinenow/2015/11/06/entry-1

More information or request Reservation

LINE@ : @greatgastro