“The Journey” การเดินทางครั้งใหม่ของอาหารไทยสไตล์โมเดิร์น ที่จะพาคุณไปสัมผัสอาหารไทยที่หาทานได้ง่ายๆในรูปแบบสุดล้ำเหนือจินตนาการ โดย Michelin-Starred Chef Henrik Yde Andersen ณ Sra Bua by Kiin Kiin, Siam Kempinski
Sra Bua by Kiin Kiin ห้องอาหารไทยชื่อดังแห่งโรงแรม Siam Kempinski ซึ่งนำเสนออาหารไทยสไตล์ใหม่ ที่โดดเด่นเป็นหนึ่งในเรื่อง Molecular Gastronomy อันเป็นการประยุกต์ศาสตร์สมัยใหม่เข้ากับการทำอาหารที่สร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารที่เหนือความคาดหมายให้กับผู้ทาน โดยนำอาหารมาเปลี่ยนสถานะหรือรูปทรงให้แตกต่างจากของเดิมโดยยังคงรสชาติต้นตำรับเอาไว้ เพื่อสร้างสีสันให้กับการนำเสนออาหารแต่ละจาน
ผลงานศิลปะบนจานอาหารทุกเมนูของ Sra Bua by Kiin Kiin ล้วนเกิดขึ้นจากพลังแห่งการสร้างสรรค์ของ Michelin-Starred Chef Henrik Yde Andersen แห่งร้าน Kiin Kiin ณ กรุง Copenhaken ประเทศ Denmark ในโอกาศเริ่มต้นศักราชใหม่นี้ Chef Henrik ได้เดินทางกลับมาเยือนกรุงเทพอีกครั้งพร้อมกับเมนูอาหารค่ำชุดใหม่ ที่ได้แรงบรรดาลใจจากประสบการณ์การรับประทานอาหารไทยจากท้องถิ่นต่างๆ ในชื่อ “The Journey” อาหารไทยแบบ 13 course ที่นำเสนอประสบการณ์การรับประทานอาหารที่มากกว่ารสชาติชั้นยอด วันนี้ Great Gastro มีตัวอย่างเมนูสุดล้ำมาให้คุณชมกัน
ส่วนแรกเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย เรียกเก๋ๆว่า The Nibbling (กรุบกรอบ) เป็นความสนุกในการสร้างสรรค์และนำเสนออาหารของเชฟ ที่ทำให้เราเริ่มต้นมื้ออาหารกันอย่างสนุกสนาน กับสารพัดอาหารเรียกน้ำย่อยที่ทำให้เราต้องแปลกใจไปทุกคำ
รากบัวหั่นชิ้นบางๆทอดกรอบเคลือบน้ำตาลบางๆ มีกลิ่นมะกรูดเล็กน้อยเพิ่มความเป็นไทย รสหวานกำลังดี เสิร์ฟมาในโหลฝักบัวแห้งที่คล้ายๆกับเป็นการบอกเราว่า สิ่งที่กำลังจะทานมันมาจากดอกบัวนะ เป็นของว่างทานเล่นเพลินๆได้ดีทีเดียว
ใครจะไปรู้ว่าซีอิ๊วก็เอามาทำเป็นเมอแรงค์ได้ Chef Henrik จัดมาให้แล้ว เป็นขนมเมอแรงค์กรุบกรอบเนื้อบางรสเค็มๆมันๆ มีเมล็ดอัลมอนแปะอยู่ด้านบนเพิ่มสัมผัส มาพร้อมดิปปิ้งซอสโยเกิร์ตวาซาบิรสเปรี้ยวๆเผ็ดฉุนๆวาซาบิเล็กน้อยซึ่งเป็นรสชาติที่ถูกคิดขึ้นมาแล้วอย่างดี ให้เมื่อผสมผสานกับรสของเมอแรงค์แล้ว กลายเป็นอาหารที่รสชาติออกไปทางของคาวมากกว่าของหวาน ไฮไลท์อยู่ที่การเสิร์ฟ ตัวเมอแรงค์สีน้ำตาลอ่อนๆถูกใส่มาในโหลแก้วใส่เมล็ดธัญพืชสีน้ำตาลอ่อนเหมือนกัน น้องพนักงานจะนำโหลมาหมุนๆต่อหน้าเราจนเริ่มมองเห็นตัวขนมผุดขึ้นมา เหมือนสมบัติที่โผล่ขึ้นมาเหนือกองทรายยังไงยังงั้น
เมนูนี้ดูยังไงก็ไม่รู้ว่าที่แท้มันคือ สะเต๊ะไก่ จนได้ชิมถึงรู้ แผ่นแป้งบางๆรสชาตินุ่มๆเหมือนเนื้อไก่ ทับด้วยซอสสะเต๊ะที่มาในลักษณะของครีมชีส โรยด้วยผงเครื่องเทศเพิ่มกลิ่นสะเต๊ะลงไป มาเป็นชิ้นเล็กๆพอดีคำ เสิร์ฟมาบนไม้แผ่นใหญ่ๆตัวแทนของไม้ฟืนที่ใช้ในการย่างสะเต๊ะ ล้ำ!
หอยเชลล์สับเป็นชิ้นเล็กๆ คลุกเคล้ากับซอสรสหวาน-เผ็ดอ่อนๆที่ทำจากน้ำมะพร้าวโรยทับด้านบนด้วยตะไคร้สับให้กลิ่นหอมสดชื่น เสิร์ฟมาในดอกบัวที่พับมาอย่างดี ลอยมาในแก้วใส่น้ำ วางไว้บนโต้ะ ซึ่งตอนแรกนึกว่าเป็นดอกไม้ประดับโต้ะ จนน้องพนักงานแนะให้ลองทานจึงรู้ว่านี่ไม่ใช่ของประดับนะจ้ะ
เมี่ยงคำมาในรูปโฉมใหม่ กับการเอาไส้เมี่ยงรสจัดจ้านที่ทำจากหอมแดง ส้มโอ พริก มะนาว สับละเอียด ใส่เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ลงไปเพิ่มความกรุบกรอบ ใส่ลงในแผ่นเกี๊ยวทอดม้วนเป็นกรวย และเนื่องจากเมี่ยงคำเป็นอาหารทางเหนือซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องศิลปะงานแกะสลักไม้อันแสนอ่อนช้อย Chef Henrik เลยเลือกจะพรีเซนต์อาหารจานนี้โดยเสียบกรวยเมี่ยงลงบนงานไม้แกะสลักที่ประดับด้วยดอกกล้วยไม้ เป็นการนำเสนออาหารที่ยอดเยี่ยมและสวยงามน่าประทับใจมาก
ไข่ตุ๋นเนื้อนุ่มหนึบๆให้สัมผัสคล้ายๆคัสตาร์ด รสหวานเล็กๆ ชิ้นพอดีคำ ใส่มากับซอสมิโซะรสอ่อนๆ
ไส้อั่วไก่รสเข้ม ชิ้นเล็กๆ ไฮไลท์อยู่ที่เสิร์ฟมาในจานที่คลอบด้วยฝาแก้ว ภายในบรรจุควันที่มีกลิ่นของเตาไฟที่ใช้ฟืนไม้ น้องพนักงานจะมาเปิดฝาครอบออกต่อหน้าเรา ให้ควันค่อยๆลอยขึ้นมา ได้บรรยากาศเหมือนกับไปซื้อไส้อั่วที่ปิ้งขายในตลาดทั่วไป
จานนี้ดึงรสชาติทั้งหมดของผัดกะเพรามาใส่ในภาชนะรูปไข่เล็กๆ กลายเป็นของเรียกน้ำย่อย รสมาครบ ส่วนของเนื้อเป็นหัวใจไก่สับ ผัดกับซอสรสเข้มข้น โรยทับด้วยข้าวพองกรอบๆ เสียบใบกะเพราทอดกรอบชิ้นเล็กๆมาด้วย เสิร์ฟโดยวางถ้วยรูปไข่มาในรังไม้รองพื้นด้วยเส้นฟางข้าวโพด น่ารักน่ารับประทานมาก
มาแปลกอีกแล้วกับกระถางต้นไม้เล็กๆพร้อมคีมคีบ น้องพนักงานบอกว่าให้เอาคีมจิ้มลงไปคีบหนอนที่อยู่ในกระถางมาทาน ช้อคไหมหล่ะ พอคีบขึ้นมาแล้วถึงบางอ้อว่า อ๋อมันคือชิ้นปลาแซลมอนที่แช่อยู่ในน้ำซุบ โรยทับด้วยผงมอลต์ ปักด้วยยอดอ่อนผักชิ้นเล็กๆเหมือนเป็นต้นอ่อนของต้นไม้ เป็นเมนูที่สนุกสนานน่าตื่นเต้นมาก
เอาหล่ะทุกท่าน ความสนุกพึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากหมดไปแล้วกับนานาอาหารเรียกน้ำย่อย คราวนี้มาถึงจานหลักกันบ้าง
เมนูต้มยำกุ้งแบบล้ำสุดๆ ครบเครื่องทั้งรสชาติ กลิ่น และสัมผัส เริ่มจากน้ำซุปต้มยำรสเข้มข้น เปรี้ยว เผ็ด ครบเครื่อง ใส่มาในการินลงในถ้วย จากนั้นนำหลอดสลิงค์ฉีดยาที่บรรจุแป้งอยู่ด้านใน ฉีดลงในถ้วยน้ำซุบที่รินไว้ กลายเป็นเส้นๆคล้ายเส้นมาม่า เวลาทานให้ยกซดทั้งชามเลยจะได้สัมผัสที่เต็มที่มาก ตัวกุ้งทำมา 2 แบบ เป็นกุ้งกรอบราดซอสมายองเนสรสเผ็ด กับขนมปังหน้ากุ้งที่มาในแบบลูกบอลลูกเล็กๆ ทานคู่กันได้อย่างลงตัว เป็นต้มยำกุ้งที่ล้ำสุดๆและยังครบรสดั้งเดิมของต้มยำกุ้งรสจัดจ้านอีกด้วย
หอยนางรมสามแบบ ได้แก่ แบบจีน ใช้ซอสรสออกเปรี้ยวโรยด้วยขิงและผักชี แบบฝรั่งเศสที่มาสดๆบีบมะนาวลงไปเล็กน้อย และ แบบภูเก็ตที่ถูกปิดฝาเอาไว้ เมื่อเปิดออกจะพบหอยสดๆในน้ำซอสสไตล์น้ำจิ้มซีฟู้ด เปรี้ยว เผ็ด จัดจ้าน แถมมีไข่มุกมาด้วยเป็นกิมมิค ว่าภูเก็ตคือไข่มุกแห่งอันดามันนะจ้ะ ตัวไข่มุกนั้นทานได้ด้วย เป็นมะพร้าวอ่อนที่ขูดเป็นลูกกลมๆ นอกจากนี้ยังมีของแถมเป็นหอยนางรมทอดกรอบด้วย ทั้งหมดนี้ถูกเสิร์ฟมาในรังไม้พร้อมหินและควันจากดรายไอซ์ที่พวยพุ่งให้สัมผัสได้ถึงความล้ำค่าของอาหารที่อยู่ตรงหน้า
ลาบเป็ดที่ไม่ธรรมดา ด้วยการนำเนื้อเป็ดสับละเอียดคลุกเคล้าเครื่องปรุงรสลาบห่อด้วยแตงกวาฝานชิ้นบางๆเป็นเส้นยาวๆ แล้วเอาแตงกวากับผักทั้งหมดไปปั่นละเอียดผสมกับน้ำตาลทำเป็นสายไหม ก่อนจะโรยทับด้วยข้าวคั่วกรุบกรอบ และน้ำลาบรสเข้มข้น เข้มข้นจนน่าทึ่งในความจัดจ้านของฝีมือเชฟฝรั่งคนนี้ เมื่อทานจะรับรู้ได้ถึงรสชาติที่ครบถ้วนของลาบ ความเค็ม หวาน เปรี้ยว เผ็ด รสทั้งหมดมาเต็มที่ เป็นจานที่ดูจากรูปลักษณ์เหมือนจะใสๆหวานๆ แต่รสที่แท้จริงกลับดูเด็ดเผ็ดร้อนได้อย่างไม่น่าเชื่อ
จานนี้เชฟจัดมาสองแบบเป็นห่อหมกที่ทำมาในแบบก้อนวุ้นหยุ่นๆราดซอสรสเค็มๆที่ได้กลิ่นเครื่องเทศครบ แล้วโรยเนื้อปูชิ้นใหญ่ๆลงไป อีกแบบเป็นเขียวหวานปลาคอดเนื้อปลาและซอสเขียวหวานมาในแบบก้อนวุ้นเหมือนกันแต่รสออกหวานกว่า ราดซอสเขียวหวานรสเข้ม ใส่เนื้อปลาคอดลงไป เป็นแกงเขียวหวานรสดีที่มีสัมผัสแตกต่าง
จานนี้เชิดชูวงการ Molecular ถึงขีดสุด กับเนื้อลูกวัวเปรี้ยวหวานที่เต็มไปด้วยสีสันและองค์ประกอบที่ดูเหมือนจานขนมหวานมากกว่าอาหารคาว เนื้อลูกวัวติดมันเล็กน้อยนุ่มเหนียวกำลังดี เสิร์ฟมากับแผ่นแป้ง หมูแผ่น แผ่นน้ำตาล และซอสรสเปรี้ยวที่ทำมาเป็นผงเย็นๆเป็นก้อนกรวดโรยอยู่บนจาน เมื่อทานพร้อมกันจะได้ทั้งรสเปรี้ยวจี้ดจ้าด หวานแจ๋ว และ เนื้อวัวเค็มๆเล็กน้อย เป็นการรวมกันของรสชาติที่กลมกล่อม สมฝีมือเชฟระดับ Michelin Star ฟินมากครับ
เนื้อน้ำมันหอยมาแบบโมเดิร์นสุดๆ กับชิ้นเนื้อที่ทำมาแบบ Medium Rare วางมาบนกระดูกวัวชิ้นโต ประดับด้วยใบกะเพราทอดกรอบ นอกจากนั้นยังมีมันแกวที่แกะสลักเป็นหนอนน้อยตัวเล็กๆ มีซอสน้ำมันหอยรสเข้มข้นราดอยู่ด้านข้าง และซอสมูสกะเพราสีเขียวเข้มประดับอยู่ด้วย เป็นศิลปะบนจานอาหารที่ดึงดูดและน่าค้นหา รสอาหารเข้มข้นมาก จนอยากได้ข้าวสวยร้อนๆมาทานคู่กับจานนี้เลยทีเดียว และนี่เป็นอาหารคาวจานสุดท้ายที่ปิดมื้ออาหารได้แบบฟินาเล่ สมบูรณ์แบบ
ของหวานจานหลัก ลอดช่องน้ำกะทิ ที่ไม่ธรรมดา ตัวลอดช่องเป็นตัวแป้งหนาๆแบบไทยโบราณ น้ำเชื่อมกะทิทำเป็นเชอร์เบทใส่ลงไปในถ้วย ปิดด้วยแผ่นกะทิแช่เย็นบางๆที่ทำเป็นฝาปิดถ้วย เสิร์ฟโดยเทน้ำเชื่อมกะทิร้อนๆลงบนฝา จนละลายและทะลุลงไปด้านล่าง เป็นลอดช่องน้ำกะทิสูตรไทยโบราณที่รักษารสดั้งเดิมไว้ได้อย่างดี แต่มาในรูปโฉมใหม่ที่น่าตื่นเต้น
นอกจากนี้ยังมีขนมหวานประกอบอีกหลากหลายเมนู เช่น
มะม่วงแผ่น ที่ทำเป็นแผ่นบางๆแล้วเอามาตากบนราวเชือกเล็กๆน่ารัก
เป็นครีมชาเอิร์ลเกรย์เนื้อแน่นๆที่ห่อด้วยแผ่นแป้งทำเป็นรูปขนมจีบ
มาการองทำเป็นรูปไข่สีดำ เสิร์ฟมาพร้อมกับหินสีดำ เป็นอีกจานที่ ต้องเลือกหยิบดีดี
เรียกได้ว่า The Journey เป็นประสบการณ์การรับประทานอาหารไทยที่โดดเด่น คุ้มค่า ครบรส และหาไม่ได้ง่ายๆนัก อย่าคิดว่าอาหารไทยฝีมือเชฟฝรั่งจะรสชาติไม่เข้มข้น อย่าคิดว่าเมนูที่คุณคุ้นเคยจะเสิร์ฟมาในแบบที่คุณคุ้นชิน อย่าเลือกหยิบอาหารพลาด เพราะสิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็น ประสบการณ์การรับประทานอาหารที่รับรองว่าคุ้มค่าและจะอยู่ในความทรงจำของคุณตลอดไป ต้องขอบคุณ Chef Henrik Yde Andersen ที่สร้างสรรค์ผลงานชั้นยอดแห่งวงการอาหารออกมาให้เราได้ลิ้มลอง
และหากใครอยากลองทำอาหารไทยสไตล์โมเดิร์นในแบบของ Chef Henrik ดูเองที่บ้าน คุณสามารถซื้อ Cookbook สุดพิเศษ ที่จัดพิมพ์ขึ้นในโอกาศฉลองครบรอบ 10 ปี ของร้านอาหาร Kiin Kiin, Copenhagen โดยหนังสือประกอบด้วยภาพอาหาร ส่วนประกอบและวิธีการทำ กลเม็ดเคล็ดลับ พร้อมแรงบรรดาลใจในอาหารแต่ละจานของ Chef Henrik คุณสามารถชื่นชมความสวยงามและซื้อ Cookbook เล่มนี้ได้ที่ร้าน Sra Bua by Kiin Kiin โรงแรม Siam Kempinski ในราคา เล่มละ 3,000 บาทถ้วนเท่านั้น
Gallery
[supsystic-slider id=152 position=”center”]
Sra Bua by Kiin Kiin
Siam Kempinski
เปิดให้บริการทุกวัน
มื้อกลางวัน เวลา 12:00 – 15:00 น.
ให้บริการด้วยอาหารไทยสมัยใหม่ แบบ 3-course ราคา 1,350++ บาท/ท่าน
และ แบบ 4-course ราคา 1,500++ บาท/ท่าน
มื้อเย็น เวลา 18:00 – 24:00 น. (Last order 21:00 น.)
ให้บริการด้วยอาหารไทยสมัยใหม่ Signature Set Menu “The Journey” ในราคา 2,900++ บาท/ท่าน
** เมนู A La Carte และ Wine Pairing มัให้บริการทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น **
MAP
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสำรองโต้ะกับ Great Gastro
โทร : 02 254 9005 / LINE@ : @greatgastro
(บริการให้คำปรึกษา FREE ไม่มีค่าใช้จ่าย)